เมื่อผู้ใช้แผนที่กำหนดจุดยืนบนแผนที่แล้วต้องการเห็นภูมิประเทศข้างหน้าในแนวขวางเพื่อต้องการรู้ความสูงต่ำของภูมิประเทศ เห็นการบดบังสายตา เห็นความลาดชัน เนินหุบเขา และร่องน้ำในลักษณะของภาพหน้าตัด ซึ่งโปรแกรมด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ชุด 3 D สามารถทำได้ง่าย รวดเร็ว หากแต่เราไม่สามารถหาโปรแกรมและข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ได้ตลอดเวลา

 

แผนที่ หมายถึงสิ่งที่แสดงลักษณะของพื้นผิวโลกทั้งหมด หรือบางส่วนบนพื้นราบโดยการย่อส่วนและใช้สัญลักษณ์แทนรายละเอียดต่าง ๆที่ปรากฏอยู่ การจำแนกประเภทแผนที่มีหลายวิธีการ


ตามความหมายของแผนที่ แผนที่ประกอบด้วย 1) การถ่ายทอดลักษณะของพื้นผิวโลกลงสู่พื้นราบ 2) การย่อส่วน 3) สัญลักษณ์ การอ่านหรือบันทึกข้อมูลลงบนแผนที่จึงควรเข้าใจทั้ง 3 ส่วนหลักเป็นสำคัญ
ดูคำอธิบายความหมายของแผนที่ได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wCz3Qlwmd28&t=118s

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สำหรับการจัดเก็บภาษีป้ายของกรุงเทพมหานคร เนื้อหาการบรรยายเน้นอธิบายที่มา แนวคิดและกระบวนการในการประยุกต์ใช้ระบบ GIS สำหรับการจัดเก็บภาษีป้ายของกรุงเทพมหานคร

การดำเนินการศึกษาใช้สภาพทางกายภาพของที่ตั้งอาคารเป็นเครื่องชี้ระดับความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ใช้ GIS Multi Criteria Modeling Delphi Technique  เป็นเครื่องมือประกอบการศึกษา

เมื่อรู้จัก ลักษณะปรากฏการณ์ที่ (Feature) กำหนดชนิดของข้อมูลและข้อเท็จจริงแล้ว การนำค่าข้อมูลที่เป็น Attribute data มาจำแนกและแสดงผลในรูปแผนที่หรือบางคนเรียกว่าส่วนที่เป็น Graphic data เป็นสิ่งที่จำเป็น  

  เมื่อรู้จัก ลักษณะปรากฏการณ์ที่ (Feature) กำหนดชนิดของข้อมูลและข้อเท็จจริงแล้ว การนำค่าข้อมูลที่เป็น Attribute data มาจำแนกและแสดงผลในรูปแผนที่หรือบางคนเรียกว่าส่วนที่เป็น Graphic data เป็นสิ่งที่จำเป็น ผู้ผลิตต้องเข้าใจการนำเสนอสารสนเทศ (Information) ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ แน่นอนว่าสารสนเทศ (Information) คงไม่ใช่ ข้อมูลฐาน (Datum) อย่างเดียว การที่ผู้ผลิตจะทำให้ผู้ใช้เข้าใจและรับรู้ข้อเท็จจริงที่ผ่านการประมวลผลแล้ว ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) จะมีรูปแบบการนำเสนอสารสนเทศได้ 4 วิธีหลัก ดังนี้

 1. Categories : เป็นการนำเสนอสารสนเทศโดยการจำแนกประเภทข้อมูลเป็นกลุ่ม ๆ โดยการจัดปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ (Feature) หรือสิ่งที่เหมือนกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน เช่น แสดงที่ตั้งสถานที่ราชการจำแนกเป็นประเภท สำนักงานเขต/อำเภอ หน่วยงานราชการ สถานีตำรวจ สถานที่ศึกษา  มหาวิทยาลัย ฯลฯ

2. Counts and Amounts : เป็นการนำเสนอสารสนเทศโดยการจำแนกประเภทข้อมูลปรากฏการณ์เป็นกลุ่มๆ โดยการนับจำนวนรวมของปรากฏการณ์ทางพื้นที่ (Feature) หรือตามค่าข้อมูลที่เป็น Attribute data เช่น แสดงค่าคะแนนความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ในแต่ละพื้นที่ โดยจำแนกเป็นกลุ่มๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นข้อเท็จจริงได้ละเอียดขึ้น

3. Ranks : เป็นการนำเสนอสารสนเทศโดยการจำแนกประเภทข้อมูลปรากฏการณ์เป็นกลุ่มๆ ตามลำดับ เช่น ความมาก-น้อย ความสูง-ต่ำ ความเข้ม-จาง ฯลฯ เช่น แสดงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ โดยจำแนกเป็นผลสรุปในแต่ละพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อย มีความเสี่ยงปานกลาง และมีความเสี่ยงมาก-มากที่สุด

 

 4. Ratios : เป็นการนำเสนอสารสนเทศโดยการจำแนกประเภทข้อมูลปรากฏการณ์เป็นกลุ่มๆ โดยนำความสัมพันธ์ของข้อมูล 2 ค่า มาเปรียบเทียบหรือกระทำต่อกัน เช่น

                 ค่าสัดส่วน เป็นการเปรียบเทียบโดยการหารกันของ 2 ค่า  

                 ค่าร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ เป็นการเปรียบเทียบโดยคิดเป็นสัดส่วนของค่าร้อย

                ค่าเฉลี่ย เป็นการเปรียบเทียบระหว่างค่า2 ค่าที่เกิดจากการรวมค่าข้อมูลหารด้วยจำนวนรวมของปรากฏการณ์ทางพื้นที่ (Feature) ทั้งหมด

 

  • หากเป็นผู้ใช้หรือผู้ผลิตแผนที่ต้องรับรู้และเข้าใจรายละเอียดประจำขอบระวาง รายละเอียดประจำขอบระวางที่ดีจะช่วย

    อ่านเพิ่มเติม...
  •  

    เมื่อโลกมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายผลส้ม การทำแผนที่ซึ่งต้องเป็นแผ่นราบใช้พกพา การย่อส่วนและการใช้สัญลักษณ์แสดงสิ่งที่ปรากฏบนพื้นโลกซึ่งต้องการความถูกต้องใกล้เคียงทั้งทิศทาง ระยะทาง รูปร่างและพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็นที่นักภูมิศาสตร์ต้องสร้างเส้นโครงแผนที่ขึ้นมา 

    อ่านเพิ่มเติม...
  • เมื่อรู้จัก ลักษณะปรากฏการณ์ที่ (Feature) กำหนดชนิดของข้อมูลและข้อเท็จจริงแล้ว การนำค่าข้อมูลที่เป็น Attribute data มาจำแนกและแสดงผลในรูปแผนที่หรือบางคนเรียกว่าส่วนที่เป็น Graphic data เป็นสิ่งที่จำเป็น  

    อ่านเพิ่มเติม...
JSN Epic is designed by JoomlaShine.com