ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

 เมื่อขบวนการทำงานของ GPS ถูกประยุกต์ใช้ร่วมกับข้อมูลแผนที่และข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมทำให้เรารู้ตำแหน่งมือถือบนแผนที่และภาพถ่ายจากดาวเทียม ทำให้เรามีโปรแกรมบอกเส้นทางรถเพื่อนำทางและบอกสภาพการจราจรเราได้ และในอนาคตคงทำให้เรารู้อะไรอีกมากมาย

การทำงานของเทคโนโลยีบางครั้งเป็นความลับ บางครั้งสามารถค้นหา เรียนรู้ได้อย่างเปิดเผย หากเรารู้และเข้าใจหลักการทำงานของเทคโนโลยีบ้าง เราในฐานะผู้ใช้เทคโนโลยี ก็จะเป็นผู้ที่อยู่กับเทคโนโลยีอย่างที่รู้เท่าทัน อาจจะพัฒนาตัวเองเป็นผู้ปรับปรุง แก้ไข หรือผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆในอนาตค

ผู้ที่สนใจเทคโนโลยี คงเคยได้รับรู้เรื่อง IoT (Internet Of Thing), Big Data, Data Analytic และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กันมาบ้าง สำหรับบทความนี้อยากบอกเล่าเรื่องราวตามภาษานักภูมิศาสตร์ (ที่รู้แบบเป็ดและพยายามคุยเรื่องยาก ๆ ให้เห็นภาพเพื่อจะได้เข้าใจง่าย ๆ) ต่อไปนี้

 

ภาค1… IoT (Internet Of Thing) :

อุปกรณ์ที่มีหน่วยความจำสำหรับจัดเก็บข้อมูลและประมวลผล อุปกรณ์ที่มีการเชื่อมต่อ Internet แต่เดิมเราพบว่ามีแต่คอมพิวเตอร์เท่านั้นที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ต่อมาเราพบว่า มือถือก็มีคุณสมบัติดังกล่าวเราจึงเข้าใจได้ว่า มือถือก็เป็นคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งโดยเฉพาะในภายหลังเราสามารถเขียนโปรแกรมให้มือถือสามารถทำงานและแสดงผลต่าง ๆ ได้

ปัจจุบันเมื่อเราไม่อยู่บ้าน เราติดกล้อง CCTV ไว้รอบบ้านและดูความเคลื่อนไหวผ่านกล้อง CCTV แต่ละตัวหรือหลาย ๆ ตัวผ่านมือถือได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับการที่เราไม่อยู่บ้านหรือกลับบ้านดึกมาก ๆ เราก็สามารถใช้มือถือสั่งให้หลอดไฟหน้าบ้าน หลอดไฟห้องรับแขกเปิดให้แสงสว่างไว้ได้

สำหรับในอนาคตอีกไม่นานเหตุการณ์เช่นนี้อาจจะถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยชีวิตประจำวันอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับหลาย ๆ คน เช่น

.....หลังเลิกงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน …..เปิดมือถือใช้โปรแกรมสั่งอุปกรณ์เครื่องมือที่บ้านใช้ทำงานรอก่อนกลับมาถึงบ้าน เช่น สั่งกาต้มน้ำให้ต้มน้ำเตรียมชงเครื่องดื่ม …..สั่งอ่างอาบน้ำให้เปิดน้ำให้ปริมาณพอดีเพื่อกลับถึงบ้านก็พร้อมที่จะอาบน้ำได้ทันที ฯลฯ ในระหว่างเดินทางเมื่อเห็นป้ายโฆษณาอาหารที่น่าสนใจก็ใช้โปรแกรมถ่ายภาพรายการอาหารจากป้ายโฆษณาอาหารแล้วรอรับอาหารเมื่อกลับถึงบ้านพอดี …..

สิ่งที่บอกเล่าคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนองความต้องการความสะดวกสบาย ซึ่งผู้ผลิตและผู้บริโภคมีต้องการตรงกัน การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือให้มีหน่วยความจำและต่อเชื่อมระบบ Internet ได้ จึงเป็นระบบหลักที่เป็นกลไกลการนำไปพัฒนาและประยุกต์ใช้งานตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์นิยามและเรียกมันว่า IoT (Internet Of Thing) ซึ่งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ IoT มี 3 ส่วนหลัก คือ

1.      อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มี IP Address (เลขรหัสเฉพาะประจำเครื่องที่ต่อเชื่อมบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์) สำหรับเชื่อมต่อกับระบบ Internet ซึ่งมีหน่วยความจำที่ถูกเขียนโปรแกรมฝั่งไว้ โดยโปรแกรมจะสามารถบังคับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้นั้น ๆ ผ่านระบบ Internet ได้

2.      โปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานผ่านระบบ Internet ตามขบวนงานที่กำหนด

3.      อุปกรณ์ที่เป็นคอมพิวเตอร์สำหรับจัดเก็บข้อมูลและ/หรือโปรแกรมควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มี IP Address


ภาพที่ 1

 

จากภาพที่ 1 อุปกรณ์เครื่องใช้ที่มี IP Address จะมีทั้งที่อยู่ในอาคารทั้งที่ต่อเชื่อมเป็นระบบเครือข่าย และเป็นอุปกรณ์เดี่ยว ๆ (ไม่จำเป็นต้องเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ติดตั้งอยู่ในอาคารเท่านั้น) ซึ่งต่อเชื่อมกับอุปกรณ์ที่เป็นคอมพิวเตอร์ ที่มีโปรแกรมควบคุมการทำงานของอุปกรณ์เครื่องใช้ ซึ่งทำงานผ่านระบบ Internet

 หากจะอธิบายการรายละเอียดการทำงานของระบบต่าง ๆ ในกรณี.....หลังเลิกงานระหว่างเดินทางกลับบ้าน.....เราใช้มือถือสั่งงานต่าง ๆ สามารถอธิบายได้ดังนี้

 -          กรณี....ใช้มือถือสั่งให้หลอดไฟหน้าบ้าน หลอดไฟห้องรับแขกเปิดให้แสงสว่าง       :

  เมื่อเปิดมือถือใช้โปรแกรมควบคุมระบบไฟส่องสว่างของบ้าน ระบบที่มือถือจะต่อเชื่อมเข้ากับอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของหลอดไฟฟ้า หลังจากนั้นโปรแกรมจะมี Functions การสั่งการหลอดไฟแต่ละดวงผ่านอุปกรณ์ควบคุม โดยอาจจะสามารถสั่งให้เปิด-ปิด ปรับความมืด- สว่าง ฯลฯ

 -          กรณี....ใช้โปรแกรมสั่งกาต้มน้ำให้ต้มน้ำ

 เมื่อเปิดโปรแกรมและสั่งกาต้มน้ำให้ต้มน้ำ โปรแกรมที่มือถือจะส่งข้อมูลผ่านระบบ Internet ไปที่กาต้มน้ำที่มี IP Address ที่โปรแกรมระบุ ที่กาต้มน้ำจะทำการเปิดระบบไฟฟ้าให้เข้ามาควบคุมการทำงาน และจะเปิดวาล์วให้น้ำไหลเข้ามาในกาต้มน้ำในปริมาณที่ต้องการ (โปรแกรมสามารถกำหนดได้) และระบบควบคุมความร้อนก็เริ่มทำงาน ซึ่งโปรแกรมสามารถสั่งการให้ต้มน้ำให้น้ำเดือดที่อุณหภูมิที่กำหนดได้

 หากลืมปิดการทำงานของกาต้มน้ำ ระบบสามารถตัดการทำงานได้อัตโนมัติ หรือสามารถสั่งปิดการทำงานผ่านมือถือได้

              -          กรณี....ใช้โปรแกรมสั่งอ่างอาบน้ำให้เปิดน้ำให้ปริมาณพอดีก็มีลักษณะเช่นเดียวกับ ใช้โปรแกรมสั่งกาต้มน้ำให้ต้มน้ำเช่นกัน

 สำหรับกรณีการใช้โปรแกรมสั่งกาต้มน้ำ หรือใช้โปรแกรมสั่งอ่างอาบน้ำให้เปิดน้ำ ในอนาคตจะถือว่าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของระบบ IoT ซึ่งจะสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์หลากหลายขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าในการนำมาประยุกต์ต่อยอดใช้ประโยชน์

-          กรณี....เปิดมือถือใช้โปรแกรมถ่ายภาพรายการอาหารจากป้ายโฆษณาอาหาร :

 จากภาพที่ 2 เมื่อเปิดมือถือถ่ายภาพรายการอาหารจากป้ายโฆษณาอาหาร (1) ข้อมูลรายการอาหารซึ่งประกอบด้วยรูปภาพและรหัสรายการอาหาร (อาจจะเป็นคิวอาร์โค้ดหรืออะไรที่ทันสมัยกว่าก็ได้)  จะถูกส่งไปยัง Servers ส่วนกลางเพื่อประมวลผล(2)  แล้วส่งไปยังคอมพิวเตอร์(3) ที่ร้านอาหารที่มีที่ตั้งใกล้บ้าน (ระบบรู้จักบ้านได้เพราะการลงทะเบียนมือถือไว้กับค่ายมือถือซึ่งต่อไปจะระบุ Location ของเจ้าของมือถือคู่กับ Address โดยหลังถ่ายภาพรายการอาหารฯ ระบบโปรแกรมฯอาจจะถาม-ตอบรายการอื่น ๆ เช่น เวลาส่ง จำนวนชิ้น รสชาติ ฯลฯ) เมื่อร้านอาหารรับรายการก็จะจัดการตรวจสอบระบบการจ่ายเงิน (4) โดยจะหักเงินจากบัญชีรายรับหรือเครดิตของผู้สั่งซื้อซึ่งเชื่อมระหว่างธนาคารกับร้านค้า หากระบบตรวจสอบผ่าน จึงจะมีการส่งสินค้ามาให้ที่บ้านซึ่งจะตรงกับช่วงเวลาที่ผู้ซื้อระบุไว้ (5)

 

ภาพที่ 2

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ Location แล้ว อาจจะเห็นความหลากหลายในการประยุกต์และใช้งาน IoT เช่น

ช่วงหนึ่งเคยขับรถ Honda และพบว่าทุกครั้งที่สตาร์ทรถ จะสังเกตเห็นที่หน้าปัดรถแสดงตัวเลขอุณหภูมิภายนอกรถ ไปพร้อม ๆ กับจอภาพแสดงแผนที่และตำแหน่งของรถ หากนำเอาข้อมูลดังกล่าวของรถทุก ๆ คันเชื่อมเข้าระบบ Internet และส่งข้อมูลเข้า Servers ของ Honda ที่มีข้อมูลลูกค้าบางส่วนแล้ว Honda ก็จะมีข้อมูลตำแหน่งรถ อุณหภูมิภายนอกรถขณะนั้น และข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้ (ข้อมูลบางรายการยังสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ด้วย) ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่การนำไปประยุกต์ใช้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศแบบ Real Time หรือการคาดการณ์สภาพภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่ได้ ทั้งนี้การนำไปต่อยอดวางแผนการตลาดของสินค้าที่เกี่ยวกับอุณหภูมิ เช่น อุปกรณ์ทำความเย็น-ร้อน อุปกรณ์ถนอมอาหาร อาหาร อุปกรณ์นุ่งห่ม  หรืออุปกรณ์ด้านสุขภาพ ก็จะเกิดขึ้นอย่างหลากหลายและอาจจะเกิดอาชีพใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก (ดูโครงสร้างการทำงานได้จากภาพที่ 3)

ภาพที่ 3

 

อนึ่ง ตามที่กล่าวว่าระบบ IoT ซึ่งอุปกรณ์เครื่องมือมีหน่วยความจำและต่อเชื่อมระบบ Internet หากนำคุณสมบัตินี้มาพัฒนาใช้งานโดยเขียนโปรแกรมให้หน่วยความจำสามารถประมวลผลจัดเก็บและส่งข้อมูลไปใช้งานได้ ระบบอุปกรณ์อัจฉริยะจะเกิดขึ้นอีกมากมาย เช่นตัวอย่างจากข่าวสารต่อไปนี้....

Acer จับมือ Intel โชว์นวัตกรรมแห่งอนาคตผ้าอ้อมเด็กอัจฉริยะ

http://www.acerspace.com/acer-diaperpie-computex-2015/

 

ภาค2… Big Data :

เคยสงสัยหรือไม่ว่า บางครั้งขณะเราผ่านห่างสรรพสินค้า เมื่อเปิดมือถือเพื่อใช้งาน เราจะพบข้อความโฆษณาเป็น Pop Up ขึ้นมา บางครั้งโฆษณา รองเท้ายี่ห้อดังที่เราสนใจจะซื้อ ซึ่งเราเพิ่งค้นข้อมูลเมื่อวานนี้เพื่อดูราคาและร้านค้าที่จัดโปรโมชั่นลดราคา หรือมีข้อความเป็น Pop Up บอกว่า ที่พักเชียงใหม่ ราคาถูก ห่างประตูท่าแพ 300 เมตรโดยที่เราเพิ่งค้นข้อมูลที่พักในเมืองเชียงใหม่เพื่อวางแผนไปพักผ่อน

สิ่งที่น่าสงสัยคือใคร รู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังสนใจเรื่องเหล่านั้นอยู่

ชัดเจนว่าเมื่อเราขยับใช้มือถือเมื่อใด ข้อมูลที่ค้นหา หรือใช้งานจะถูกส่งมาที่มือถือ ในขณะเดียวกันที่ข้อมูลที่มือถือก็ถูกส่งไปให้ Servers ต่าง ๆ มากมาย ทั้งข้อมูลตัวอักษรที่เราพิมพ์ ข้อมูลภาพที่เราถ่ายหรือภาพที่เราเก็บไว้ ข้อมูลเสียงที่เราพูดคุยสนทนาหรือบันทึกไว้ ข้อมูลการเข้าใช้โปรแกรม เข้าใช้เว็บไซด์ต่าง ๆ แม้กระทั้งข้อมูลการขยับนิ้วกดหรือสไลด์ไปบนหน้าจอหรือการกดเม้าแต่ละครั้งก็อาจจะถูกบันทึกและส่งไปยัง Servers ใดๆ บนโลกไซด์เบอร์ได้ ข้อมูลเหล่านี้จากทุก ๆ คนจะถูกส่งกระจายไปยัง Servers ต่าง ๆ (ตามเงื่อนไขการลงทะเบียนหรือการใช้ข้อมูลหรือโปรแกรมหรือเกมส์ที่เราเข้าไปใช้) ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้เราเรียกว่า “Big Data” ในด้านธุรกิจการได้ข้อมูลลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าและบริการที่ชัดเจนก็เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงมาก ในด้านความมั่นคง ด้านการเมือง และด้านอื่น ๆ ก็เช่นกัน ข้อมูลของเราทั้งหลายที่อยู่ใน Servers ต่าง ๆ จึงถูกบันทึก ถูกขายและแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา  (ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ข่าว เฟซบุ๊กอึ้ง ถูกดูดข้อมูลไปใช้ในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี)

 https://m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000027244

 

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม เราพบข้อความเป็น Pop Up โฆษณา รองเท้ายี่ห้อดังที่เราสนใจจะซื้อหรือมีข้อความบอก ที่พักเชียงใหม่ ราคาถูก ห่างประตูท่าแพ 300 เมตร

ในทำนองเดียวกัน เมื่อการเคลื่อนที่ของ GPS บนมือถือหรือบนรถประเภทต่าง ๆ ก็เกิดข้อมูล Location ที่ถูกบันทึกเช่นกัน หากอุปกรณ์ เครื่องมือที่เป็นระบบ IoT ติดตั้งระบบบอกตำแหน่ง แน่นอนว่าข้อมูลที่เป็น Big Data ส่วนหนึ่งคือตำแหน่งซึ่งจะถูกนำไปใช้ประโยชน์มากมาย

 

ภาค3… Data Analytic :

เมื่อ IoT เป็นการประยุกต์ใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ ผ่านระบบเครือข่าย Big Data เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาลที่หลากหลายรูปแบบและมาจากหลายแหล่งที่มา การใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบเครื่องมือ อุปกรณ์เพื่อประโยชน์ด้านความสะดวกสบาย ความบันเทิงและความสงบจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์พยายามทำ โดยเบื้องต้นมีการนำแนวคิด วิธีการและทฤษฎีพื้นฐานมาใช้ (โดยเฉพาะสถิติพื้นฐานที่เราเรียกว่า Descriptive Statistic) จึงเป็นแนวคิดวิธีการที่เรียกว่า Data Analytic ซึ่งต้องการผู้มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาใช้คัดเลือก จำแนกแยกแยะ จัดกลุ่ม ใช้งานหรือวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลและหลากหลายรูปแบบให้เกิดประโยชน์และมูลค่า โดยเฉพาะทางธุรกิจ จึงเกิดแนวคิดที่เรียกกันอย่างโก้หรูหลากหลาย เช่น Smart City, Smart Farming, Smart Home และอื่น ๆ

ภาพที่ 4

จากภาพที่ 4 จะแสดงการทำงานของขบวนการทำงานเมื่อเราผ่านห่างสรรพสินค้าและเปิดมือถือแล้วพบข้อความโฆษณาเป็น Pop Up ขึ้นมา ซึ่งจะอธิบายการเกิดและใช้งาน Big Data และ Data Analytic ตั้งแต่การมีข้อมูลมหาศาล (Big Data) จากการนำข้อมูลสินค้าไปเก็บไว้ก่อนแล้ว (1) และการค้นหาข้อมูลสินค้าที่สนใจผ่านมือถือ (2) ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปรวบรวมและวิเคราะห์ ประมวลผลใน Servers ตลอดเวลา (3) และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผู้สนใจสินค้าผ่านมาที่ห้างสรรพสินค้า (4) ซึ่งมีสินค้าที่เคยถูกค้นหาผ่านโปรแกรมบนมือถือ ระบบ Data Analytics จะแสดงผลชักชวนการซื้อสินค้าเป็น Pop Up โฆษณาสินค้าบนมือถือของผู้ที่เคยค้นหาข้อมูลสินค้านั้น ๆ

สำหรับนักภูมิศาสตร์แล้ว ทั้ง IoT, Big Data, Data Analytic ล้วนเป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งต้องการผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ผู้มีความเชี่ยวชาญ มากำหนดแนวคิดวิธีการ ขั้นตอนการพัฒนาใช้ประโยชน์ หรือที่นักเทคโนโลยีต้องการนำมาพัฒนาเขียนเป็นโปรแกรม หรือที่นักคอมพิวเตอร์มักจะเรียกว่า “Algorithm” ซึ่ง ภูมิศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ มนุษย์ พื้นที่และเวลา ที่นักเทคโนโลยีต้องการแนวคิดที่เป็น “Algorithm” เพื่อพัฒนาใช้ประโยชน์ (เคยกล่าวไว้ในแนวคิดของนักภูมิศาสตร์สมัยใหม่)

http://www.geo2gis.com/index.php/2016-01-29-05-55-21/2016-02-10-05-57-33/332-geographer5

 

ภาค4… AI (Artificial Intelligence) :

นอกจาก IoT, Big Data, Data Analytic จะกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราอย่างมากมายแล้ว ปัจจุบัน AI เข้ามาสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนมากมาย (เหมือนกับยุคหนึ่งที่ GIS เริ่มเป็นที่รู้จักจนผู้ใหญ่และนักวิชาการในบ้านเมืองต่างยกย่องว่าอยากรู้อะไรอยู่ที่ไหนก็ถามระบบ GIS จะรู้หมด แล้ววันนี้เป็นอย่างไรล่ะครับ)

เขาบอกว่า AI มีหลักการพัฒนาและทำงานคือ มนุษย์สร้าง AI ให้คิดและกระทำอย่างมีเหตุผลเหมือนมนุษย์โดย AI จะเป็นเทคโนโลยีที่ฉลาดสามารถเรียนรู้ได้ด้วยข้อมูลที่ถูกใส่ให้และข้อมูลที่ AI สัมผัส โดย AI จะเรียนรู้และคิดได้ด้วยตัวมันเอง ดังนั้นผู้พัฒนา AI จึงพยายามทำให้ AI มี “Algorithm” ที่เข้าใจในเรื่องที่มนุษย์เป็น คือ

-          AI ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจว่ามนุษย์มีขบวนการคิดอย่างไรทั้งการตัดสินใจ การแก้ปัญหา โดยใช้สติปัญญา

-          AI ต้องมีเหตุผลและคิดตามหลัก ตรรกะศาสตร์

-          AI ต้องสื่อสารได้จากการสัมผัสและเคลื่อนไหว

ปัจจุบันตัวอย่างการพัฒนา AI ให้ใกล้เคียงมนุษย์ ได้แก่การพัฒนาหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถพูดคุยตอบโต้กับคนได้อย่างชาญฉลาด

https://www.youtube.com/watch?v=VdtMxZ4Ke-k

https://www.youtube.com/watch?v=LVQHDnC37Ic

หรือ โปรแกรมที่พัฒนาโดยระบบ AI ที่สามารถปลอมวิดีโอสุนทรพจน์ของ Barack Obama ได้เหมือนที่สุด

https://spectrum.ieee.org/tech-talk/robotics/artificial-intelligence/ai-creates-fake-obama

 หรือข่าว ไป่ตู้ ลงทุน บ.สมาร์ททีวี ดีง AI รับคำสั่งผู้ชมเป็นต้น

 

 https://m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000026738

 

อย่างไรก็ตาม หากศึกษาการพัฒนาโปรแกรม Search Engine เช่น Google ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นข้อมูล เราจะพบว่าเมื่อค้นข้อมูลด้วยข้อความหรือเสียงพูด โปรแกรมจะให้คำตอบต่าง ๆ มากมาย ซึ่งผู้ใช้หลายคนสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์และตอบสนองได้อย่างตรงตามความต้องการ หลายคนสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้บ้างแต่อาจจะไม่ตรงตามความต้องการนัก แต่ก็มีไม่น้อยที่ได้ข้อมูลที่เป็นเท็จ เช่น เมื่อต้องการทำอาหารไทยยอดนิยม ต้มยำไก่ หากทำไม่เป็น เราสามารถค้นหาวิธีทำได้ทั่วไปใน Google ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นรายละเอียดวิธีทำ ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงอธิบาย ซึ่งเราสามารถศึกษาและนำไปทำ ต้มยำไก่ ได้ แต่หลายครั้งที่ไม่สามารถทำรสชาติและกลิ่นให้เป็นต้มยำไก่แบบทั่วไปได้  เช่นเดียวกับการที่มนุษย์พยายามใช้นำเอา AI เข้ามาช่วย Q.C. รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ก่อนออกจำหน่าย ซึ่งพบว่าระบบของเครื่องยนต์หลายส่วนยังต้องให้คนเป็นผู้ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เช่น  ระบบช่วงล่าง การตั้งศูนย์ของล้อรถเมื่อผ่านการ Q.C. จากระบบ AI แล้ว ค่าของศูนย์ล้อแม้เป็นค่าที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว เมื่อนำมาขับเคลื่อนบนพื้นถนนจริง ๆ บางครั้งผู้ขับอาจจะรับรู้ได้ว่าขณะรถวิ่งศูนย์ล้อเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่อยู่ที่ตำแหน่งกึ่งกลางแม้จะตรวจสอบลมยางและพื้นถนนแล้วก็ตาม ดังนั้นหลายครั้งที่รถออกใหม่ต้องนำกลับเข้ามาที่ศูนย์รถเพื่อให้มีการตั้งศูนย์ล้อรถใหม่โดยต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และมนุษย์ทำงานตั้งศูนย์ล้อร่วมกัน

นั่นหมายความว่าไม่ว่ากรณี Google ที่ให้ข้อมูลที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ กรณีนำเอา AI เข้ามาช่วย Q.C. รถยนต์ก่อนออกจำหน่าย หรือแม้แต่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี GPS ก็อาจจะยังคงความต้องการองค์ความรู้และประสบการณ์หรือกรณีศึกษาที่มีรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งเทคโนโลยีต้องเรียนรู้และพัฒนาผ่านมนุษย์ พื้นที่และเวลาอีกระยะหนึ่ง

https://m.mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000025456

เมื่อกล่าวในหลักการ คือ ด้วยข้อเด่นของ AI ที่มีคือความจำที่มีมหาศาลและการประมวลผลที่รวดเร็ว หากผู้พัฒนาสามารถจินตนาการ “Algorithm” และ Input ข้อมูล ต่อด้วยการให้ AI เรียนรู้ขบวนการทำงานทั้งแบบ Machine Learning หรือแบบใดก็ตาม เมื่อ AI มี “Algorithm” ข้อมูลและกรณีศึกษาใหม่ ๆ อย่างมหาศาลจน AI คิดเองได้เหมือนมนุษย์แล้ว AI จะเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก อย่างน้อยอาชีพและงานหลาย ๆ อย่าง AI จะเข้ามาทดแทนมนุษย์ โดยเฉพาะงานที่ยุ่งยากซับซ้อน งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ งานบริการที่ต้องการมาตรฐานและควบคุมอารมณ์ในการให้บริการ

 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ นอกจากมนุษย์จะเป็นผู้สร้างและพัฒนา AI แล้ว มนุษย์ยังต้องรู้จักเทคโนโลยี (ไม่ใช่เฉพาะ AI) ต้องสามารถวิเคราะห์ คาดการณ์สิ่งที่ควรจะเป็นและควรจะควบคุมเทคโนโลยีที่นำมาใช้ประโยชน์ด้วย (เช่นกรณี   Facebook ปิดระบบ AI ในศูนย์วิจัยของตัวเอง)

https://www.techmoblog.com/facebook-shutdown-ai

สำหรับมุมมองของนักภูมิศาสตร์แล้ว แม้ว่า IoT, Big Data, Data Analytic และ AI จะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์อย่างมากมาย จนปัจจุบัน AI เข้ามาแทนที่นักภูมิศาสตร์ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (GIS Remote sensing) บ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้จักเทคโนโลยี รู้ข้อจำกัดของเทคโนโลยี จะพบว่าศาสตร์ที่เรียกว่า ภูมิศาสตร์” (ศึกษาเรื่องมนุษย์ พื้นที่ และเวลา) เทคโนโลยียังไม่สามารถเข้ามาทดแทนได้ทั้งหมด เนื่องจากเทคโนโลยีไม่สามารถสร้าง มนุษย์ พื้นที่ และเวลาได้ หากนักภูมิศาสตร์ยังศึกษามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ยังศึกษาเรียนรู้ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติผ่านพื้นที่และกาลเวลาแล้ว  Algorithm : Science, Experience, Intelligence ที่เกิดจากการศึกษาและวิจัยของนักภูมิศาสตร์จะยังสร้างอัตลักษณ์ทางอาชีพ และสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือได้ต่อไป